พาวเวอร์ซัพพลายเป็นส่วนที่ละเลยกันมากที่สุดในการเลือกซื้ออุปกรณ์สำหรับการประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์
บ่อยครั้งที่เราเลือกซื้อคอมพิวเตอร์ เราแค่คำนึงถึงความเร็วของซีพียู เมนบอร์ด
ขนาดหน่วยความจำ ขนาดฮาร์ดดิสก์ และลืมเรื่องเกี่ยวกับพาวเวอร์ซัพพลาย
ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว พาวเวอร์ซัพพลายคือผู้ที่จัดหา “เชื้อเพลิง”สำหรับส่วนต่าง ๆ ของพีซีเพื่อให้ปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้อง
พาวเวอร์ซัพพลายที่มีคุณภาพดีและมีความสามารถในการจ่ายพลังงานไฟฟ้าได้อย่างพอเพียงสามารถเพิ่มความทนทานของอุปกรณ์ต่าง
ๆ ได้ อีกทางหนึ่งพาวเวอร์ซัพพลายที่มีคุณภาพต่ำ
อาจทำให้เกิดปัญหาระหว่างการทำงานหลายครั้ง ซึ่งยากต่อการแก้ไข
พาวเวอร์ซัพพลายที่ชำรุดหรือคุณภาพแย่อาจทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์หยุดทำงาน
พื้นที่บางส่วนของฮาร์ดดิสก์เสีย เกิดบลูสกรีนอันเลื่องชื่อ
และอาจรวมไปถึงการที่คอมพิวเตอร์รีเซตตัวเองหรือทำงานค้างเป็นครั้งคราว
และปัญหาอื่น ๆ ที่อาจเกี่ยวข้องอีกมากมาย
เราจะมาดูกันว่าเมื่อต้องเลือกซื้อพาวเวอร์ซัพพลายซักตัว
เราต้องพิจารณาปัจจัยใดบ้าง
ไม่ใช่ดูแค่ว่าพาวเวอร์ซัพพลายที่เราจะซื้อนั้นจ่ายไฟได้กี่วัตต์
หน้าที่ของพาวเวอร์ซัพพลาย
คอมพิวเตอร์ต้องใช้ไฟฟ้าจึงจะทำงานได้
แต่การที่จะนำเอาชิ้นส่วนต่างๆ ไปต่อกับปลักไฟโดยตรง จัดเป็นเรื่องที่ไม่สะดวกอย่างยิ่ง
ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องมีตัวกลางคอยช่วยเหลือ ซึ่งก็คือพาวเวอร์ซัพพลายนั่นเอง
จุดมุ่งหมายของพาวเวอร์ซัพพลายก็คือการแปลงกระแสไฟฟ้าจากปลักไฟ
ไปเป็นโวลเตจที่ชิ้นส่วนต่างๆ ในคอมพิวเตอร์การใช้อยู่
ดังนั้นเมื่อคุณเชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้าที่มีแรงดัน 220 โวลต์ เข้าหาพาวเวอร์ซัพพลายแล้ว
สิ่งที่คุณได้รับกลับมาก็คือชุดของแรงดันไฟฟ้ามาตรฐานที่สามารถจัดการได้ง่ายกว่า
นอกจากนั้นพาวเวอร์ซัพพลายยังมีหน้าที่แปลงไฟฟ้ากระแสสลับไปเป็นไฟฟ้ากระแสตรงอีกด้วย
เนื่องจากกระแสตรงจะใช้กับชิ้นส่วนไฟฟ้าต่างๆ ได้ง่ายกว่า
แรงดันไฟฟ้าสำคัญที่สุด 3 ระดับที่พาวเวอร์ซัพพลายสามารถสร้างออกมาให้เราใช้อยู่ก็คือ
+3.3V, +5V และ +12V โดยที่เอาต์พุทแบบ
+3.3V และ +5V มักใช้กับพวกชิปต่างๆ
และองค์ประกอบอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันในคอมพิวเตอร์ ในขณะที่เอาต์พุทแบบ +12V
ใช้กับกลไกในฮาร์ดดิสก์ ไดร์ฟซีดีรอมหรืออุปกรณ์อื่นๆ
ที่ใกล้เคียงกัน ถ้าหากเรามีเอาต์พุทแค่สองแบบน่าจะสะดวกมากกว่า
นั่นก็คืออันหนึ่งสำหรับส่วนที่เป็นกลไกและอีกส่วนหนึ่งสำหรับสวนที่เป็นชิป
แต่ปัญหาก็คือเมื่อมีการเปิดตัวมาตรฐานใหม่ๆ ใดออกมา
มาตรฐานนั้นมักต้องมีความเข้ากันได้กับเทคโนโลยีที่เดิมที่มีอยู่ด้วย
อย่างไรก็ตามเดี๋ยวนี้ชุดจ่ายไฟแบบ +12V ไม่ได้ใช้กับอุปกรณ์พวกที่เป็นกลไกเพียงอย่างเดียว
บรรดาซีพียูรุ่นใหม่
รวมไปถึงพวกกราฟิกการ์ดที่มีความเร็วสูงก็มีความต้องการแรงดันไฟฟ้า +12V เพิ่มขึ้นมาด้วย
บริเวณด้านหลังของพาวเวอร์ซัพพลายนอกจากจะมีคอนเน็คเตอร์สำหรับต่อกับสายไฟ
AC แล้ว
คุณยังจะเจอกับสวิทช์สำหรับใช้เลือกใช้ขนาดแรงดันไฟฟ้าระหว่าง 110V และ 220V ด้วย
สวิทช์ดังกล่าวมีอยู่เพื่อช่วยให้เราสามารถใช้พาวเวอร์ซัพพลายในประเทศไทยหรือประเทศอื่นๆ
ที่ใช้ไฟ 110V ได้ด้วย แต่ก็มีพาวเวอร์ซัพพลายอีกหลายรุ่นที่ไม่จำเป็นต้องมีสวิทช์ดังกล่าว
เนื่องจากมันสามารถเลือกโวลเตจที่เหมาะสมได้เอง เทคโนโลยีแบบนี้ในบางครั้งเรียกว่า
“wide input voltage” ก็มี
และเพื่อทำให้ตัวพาวเวอร์ซัพพลายเองสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวมันเองก็จำเป็นต้องมีระบบระบายความร้อนบางอย่างด้วย
ซึ่งโดยปกติแล้วระบบระบายความร้อนของพาวเวอร์ซัพพลายก็จะประกอบไปด้วยฮีตซิงค์และพัดลม
โดยพัดลมก็จะทำหน้าที่สร้างอากาศหมุนเวียนผ่านพาวเวอร์ซัพพลาย
และในพาวเวอร์ซัพพลายรุ่นใหม่ๆ
ที่มีความทันสมัยพัดลมจะทำงานโดยขึ้นอยู่กับอุณหภูมิเป็นหลัก เช่นถ้ามีความร้อนเพิ่มขึ้นความเร็วรอบของพัดลมก็จะสูงขึ้น
และเมื่ออุณหภูมิลดลงความเร็วรอบในการหมุนของพัดลงก็จะลดลงด้วย
ซึ่งคุณสมบัตินี้ถูกพัฒนาออกมาเพื่อช่วยลดเสียงรบกวนในการทำงาน
มาตรฐานของพาวเวอร์ซัพพลาย
พาวเวอร์ซัพพลายของพีซีมีรูปร่างหน้าตาแตกต่างกันหลายแบบ
ซึ่งรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างกันนี้มันมาจากเรื่องของมาตรฐานนั่นเอง
นอกจากความต่างกันเรื่องขนาดและแบบของปลั๊กแล้ว
ความต่างศักย์ที่จ่ายออกมายังต่างกันอีกด้วย ดังต่อไปนี้
มาตรฐาน AT
พาวเวอร์ซัพพลายแบบ AT ใช้กับเคสและเมนบอร์ดแบบ AT พาวเวอร์ซัพพลายแบบนี้จะจ่ายไฟด้วยความต่างศักย์สี่ค่าคือ +5V,
+12V, -5V และ 12V และใช้หัวต่อแบบ 12 ขา ซึ่งส่วนใหญ่แล้วแบ่งออกเป็น 6 ขา 2 ชุด ปัญหาก็คือ หัวต่อ 6 ขาทั้งสองชุดนี้สามารถเสียบเข้าไปในด้านใดก็ได้ของหัวต่อ
12 ขาบนเมนบอร์ด เพื่อป้องกันการผิดพลาด
เราต้องจำให้ขึ้นใจว่าต้องติดตั้งหัวต่อแบบนี้โดยจัดวางในลักษณะให้สายสีดำอยู่ตรงกลางของหัวต่อแต่พาวเวอร์ซัพพลายแบบ
AT นั้นตกยุคไปได้หลายปีแล้ว
มาตรฐาน ATX
พาวเวอร์ซัพพลายแบบ ATX จะใช้กับเคสและเมนบอร์ดแบบ ATX โดยเหล่งจ่ายไฟมาตรฐาน ATX นี้เป็นมาตรฐานที่มีบทบาทมากที่สุดในเวลานี้แม้ว่าจะมีการเปิดตัวมาตรฐานของ
BTX ออกมานานแล้วก็ตาม แต่มาตรฐานของ ATX นั้นก็ยังคงอยู่และมีการพัฒนาต่อเนื่องมาอีกหลายเวอร์ชัน
และเราก็ยังสามารถนำพาวเวอร์ซัพพลายแบบ ATX ไปใส่ในเคสแบบ BTX
ได้ รวมไปถืงเมนบอร์ดแบบ ATX ก็สามารถนำไปติดตั้งในเคสที่เป็น
BTX ได้เช่นกัน
เพราะทางผู้ผลิตเคสได้ทำช่องสำหรับยึดตำแหน่งของพาวเวอร์ซัพพลายกับเมนบอร์ดแบบ ATX
เอาไว้ด้วย
สำหรับพาวเวอร์ซัพพลายแบบ ATX ก็จะมีหลายรูปแบบที่เราจะกล่าวถึงต่อไป
สำหรับความแตกต่างประการหลักสามประการระหว่างพาวเวอร์ซัพพลายแบบ AT และ ATX คือ มีสายไฟฟ้า +3.3V เพิ่มเติมอีกหนึ่งสาย,
พาวเวอร์ซัพพลายแบบ ATX ในเวอร์ชันแรกๆ
ใช้หัวต่อแบบ 20 ขา และพาวเวอร์ซัพพลายแบบนี้มีสายสำหรับเปิดปิด
อันทำให้สามารถปิดพาวเวอร์ซัพพลายด้วยซอฟต์แวร์ได้ พาวเวอร์ซัพพลายของ ATX มีขนาดกว้าง, สูง, ลึกเท่ากับ 5.90
นิ้ว x 3.38 นิ้ว x 5.51 นิ้ว (150 มิลลิเมตร x 86 มิลลิเมตร
x 140 มิลลิเมตร
คอนเน็คเตอร์หลักของพาวเวอร์ซัพพลายแบบ ATX และคอนเน็คเตอร์พาวเวอร์บนเมนบอร์ด ATX
มาตรฐาน ATX12V v1.x
เนื่องจากซีพียูสมัยใหม่ต้องการพลังงานมากขึ้น
จึงได้มีการเพิ่มหัวต่อให้กับพาวเวอร์ซัพพลายแบบ ATX กล่าวคือ หัวต่อ 12V แบบสี่ขาและหัวต่อเสริม
+3.3V และ +5V หกขา
โดยหัวต่อแบบหกขานี้แต่เดิมมีใช้กันอยู่ในเมนบอร์ด Pentium 4 รุ่นแรก (เมนบอร์ดที่ใช้ซ็อกเก็ต 423) เราใช้พาวเวอร์ซัพพลายแบบนี้กับเมนบอร์ด
ATX12V v1.x โดยมีขนาดทางกายภาพเหมือนกับพาวเวอร์ซัพพลายแบบ ATX
นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ATX12V v1.3 ยังได้มีการนำหัวต่อ
Serial ATA ซึ่งมี 15 ขาเข้ามาใช้
คอนเน็คเตอร์ AUX สี่ขาของพาวเวอร์ซัพพลาย ATX12V v1.x และคอนเน็คเตอร์ 8 ขาของ EPS ATX 12V
มาตรฐาน ATX12V v2.x
ATX12V รุ่นใหม่นี้เปลี่ยนหัวต่อจ่ายไฟให้กับเมนบอร์ดจาก
20 ขาเป็น 24 ขา
และยังยกเลิกหัวต่อเสริม 6 ขาเนื่องจากไม่มีการใช้งานอีกต่อไป
รวมทั้งปรับการใช้งานหัวต่อจ่ายไฟ Serial ATA อย่างไรก็ดี
มีเมนบอร์ดATX12V v2.x บางรุ่นที่ยังคงเปิดโอกาสให้เราใช้กับพาวเวอร์ซัพพลาย
20 ขาดังเช่นพาวเวอร์ซัพพลาย ATX12V v1.x นอกจากนี้ เรายังสามารถใช้พาวเวอร์ซัพพลาย ATX12V v2.x กับเมนบอร์ด ATX12V v1.x โดยผ่านทางตัวแปลง
ขนาดทางกายภาพของ ATX12V v2.X เหมือนกันกับพาวเวอร์ซัพพลาย ATX
ดั้งเดิมและยังคงรักษาหัวต่อ 12V 4 ขาเพิ่มเติมที่เริ่มนำมาใช้ใน
ATX12V v1.x
ตัวแปลงจาก 24 ขาไปเป็น 20 ขา
มาตรฐานแบบอื่นๆ
EPS12V: SSI (Server System Infrastructure) เป็นผู้กำหนดรูปทรงนี้สำหรับพาวเวอร์ซัพพลายเซิร์ฟเวอร์ระดับล่าง
พาวเวอร์ซัพพลายแบบนี้ใช้หัวต่อบนเมนบอร์ดแบบเดียวกับ ATX12V v2.x และมีหัวต่อ 12V 8 ขาแบบใหม่ EPS12V ยังคงมีขนาดเหมือนกับมาตรฐาน ATX ดั้งเดิม
และใช้กับเมนบอร์ดแบบ EPS12V เนื่องจากพาวเวอร์ซัพพลายแบบนี้มีหัวต่อเพิ่มขึ้นมาเพียงอันเดียว
ผู้ผลิตพาวเวอร์ซัพพลายหลายรายจึงผลิตรุ่นที่เป็นทั้ง ATX12V v2.x และ EPS12V ในเวลาเดียวกัน
นอกจากรูปทรงหลักของพาวเวอร์ซัพพลายสำหรับเครื่องเดสก์ทอปดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
ยังมีรูปทรงสำหรับเครื่องพีซีขนาดเล็กเช่นกัน
การระบายความร้อน
ดังที่เราได้กล่าวมาแล้วว่า
พาวเวอร์ซัพพลายมีบทบาทสำคัญในกระบวนระบายความร้อนของพีซี
โดยหน้าที่ที่แน่นอนของมันคือนำอากาศร้อนออกไปจากเคส
การไหลของอากาศภายในพีซีจะเริ่มจากอากาศเย็นไหลผ่านเข้าไปทางช่องด้านหน้าของเคส
ต่อจากนั้น อากาศถูกทำให้ร้อนขึ้นโดยอุปกรณ์ดังเช่นซีพียู การ์ดจอ ฮาร์ดดิสก์
ชิปเซต ฯลฯ เนื่องจากอากาศร้อนมีความหนาแน่นน้อยกว่าอากาศเย็น
มันจึงลอยขึ้นไปด้านบนตามหลักธรรมชาติทำให้อากาศร้อนลอยตัวไปถูกกักอยู่ตรงส่วนบนสุดของเคส
พัดลมทำความเย็นของพาวเวอร์ซัพพลายจะทำงานเป็นพัดลมระบายอากาศ
ดึงลมร้อนออกจากบริเวณนี้และเป่าออกไปจากพีซี
ในยุคหนึ่งพาวเวอร์ซัพพลายที่มีราคาแพงจะมีพัดลมระบายอากาศสองหรือสามตัว
แต่เดี๋ยวนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปโดยเปลี่ยนมาใช้พัดลมที่มีขนาดใหญ่ขึ้นแทนเพื่อลดเสียงรบกวนในการทำงานไปด้วยในตัว
และเคสส่วนมากก็จะมีพื้นที่ว่างพอควรสำหรับติดตั้งพัดลมเพิ่มเติมที่ด้านหลัง
อย่างไรก็ตามเคสคอมพิวเตอร์บางรุ่นก็ไม่ได้ให้เราทำการติดตั้งพาวเวอร์ซัพพลายไว้ทางด้านบนของตัวเคส
แต่จะให้พาวเวอร์ซัพพลายอยู่ด้านล่างของเคสแทน
หรือถ้าเป็นเคสที่วางแบบแนวนอนพาวเวอร์ซัพพลายก็จะอยู่ด้านหนึ่ง
เมนบอร์ดและอุปกรณ์ต่างๆ ก็จะอยู่อีกด้านหนึ่ง
พาวเวอร์ซัพพลายก็ยังมีส่วนช่วยในการระบายความร้อนออกจากเคสอยู่ดี เพราะอย่างน้อยๆ
มันก็นำความร้อนจากตัวมันเองออกสู่นอกเคส
ไม่ทิ้งความร้อนสะสมไว้ภายในตัวเครื่องเหมือนกับอุปกรณ์อื่นๆ
ปัญหาของพัดลมรวมไปถึงพัดลมพิเศษของพาวเวอร์ซัพพลายคือเสียง
ซึ่งอาจรบกวนการทำงานของเราได้ เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องเสียง
ผู้ผลิตบางรายจึงได้ใส่คุณสมบัติเพิ่มเติมเข้าไปในพาวเวอร์ซัพพลาย เช่น
ความเร็วการหมุนของพัดลมขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของพาวเวอร์ซัพพลาย
เมื่อต้องการพลังงานน้อย เสียงก็จะเบาลง อย่างไรก็ดี
มีพาวเวอร์ซัพพลายบางแบบที่เราต้องกำหนดความเร็วของพัดลมระบายอากาศเองผ่านทางสวิตช์ด้านหลัง
ไม่ได้กระทำแบบอัตโนมัติ
ความมีเสถียรภาพ
พาวเวอร์ซัพพลายที่มีคุณภาพสูงจะต้องรับประกันว่าสามารถจ่ายไฟที่มีค่าความต่างศักย์คงที่โดยไม่คำนึงถึงความไม่สมบูรณ์หรือโอเวอร์โหลดที่เกิดขึ้นมาจากระบบไฟฟ้าหรือจากการใช้ไฟฟ้าที่ขึ้น
ๆ ลง ๆ ของคอมพิวเตอร์ เพื่อให้คอมพิวเตอร์ปฏิบัติการได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย มีความจำเป็นที่ความต่างศักย์ที่พาวเวอร์ซัพพลายจ่ายออกมาต้องคงที่
โดยอุปกรณ์บางอย่างของคอมพิวเตอร์บางอย่างโดยเฉพาะซีพียูมีความไวต่อการขึ้น ๆ ลง ๆ
ของความต่างศักย์มาก อาการขึ้น ๆ ลง ๆ
ทันทีทันใดอาจทำให้คอมพิวเตอร์หยุดทำงานหรือทำให้ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์บางอย่างไหม้
อย่างไรก็ดี คอมพิวเตอร์สามารถทนต่อการขึ้น ๆ ลง ๆ
ของความต่างศักย์บางอย่างได้โดยไม่ทำให้ส่วนประกอบเสียหายไป ในตารางที่ 1 แสดงความต่างศักย์ที่พาวเวอร์ซัพพลายจ่ายออกมา
กับค่าต่ำสุดและค่าสูงสุดที่คอมพิวเตอร์สามารถรองรับได้
ความต่างศักย์ที่ออกมา
|
ความเบี่ยงเบน
|
ค่าต่ำสุด
|
ค่าสูงสุด
|
+5VDC
|
+/-5%
|
+4.75V
|
+5.25V
|
+12VDC
|
+/-5%
|
+11.40V
|
+12.60V
|
-5VDC
|
+/-10%
|
-4.5V
|
-5.5V
|
-12VDC
|
+/-10%
|
-10.8V
|
-13.2V
|
+3.3VDC
|
+/-5%
|
+3.14V
|
+3.47V
|
+5V SB
|
+/-5%
|
+4.75V
|
+5.25V
|
ตารางที่ 1 ความต่างศักย์ที่พาวเวอร์ซัพพลายจ่ายออกมา
กับค่าต่ำสุดและค่าสูงสุดที่คอมพิวเตอร์สามารถรองรับได้
ความสามารถในการจ่ายพลังงาน
เราจำแนกประเภทและการทำตลาดของพาวเวอร์ซัพพลายตามพลังงานสูงสุดที่สามารถจ่ายออกมาได้ในหน่วยวัตต์
พลังงานคือความจุของพลังงานไฟฟ้าที่จะถูกแปลงให้เป็นพลังงานอีกแบบหนึ่ง
ซึ่งปกติจะเป็นพลังงานความร้อน,
พลังงานกล, พนังงานเคมี ฯลฯ โดยทั่วไป
ความสามารถในจ่ายพลังงานของพาวเวอร์ซัพพลายยิ่งมากขึ้น
เราก็ยิ่งสามารถติดตั้งบอร์ดและอุปกรณ์ข้างเคียงบนคอมพิวเตอร์ได้มากขึ้นเช่นกัน
แต่ว่า ความจุของพาวเวอร์ซัพพลายที่จริงแล้วคืออะไร? ความหมายของพาวเวอร์ซัพพลาย “300
วัตต์” “500 วัตต์” หรือ
“1000 วัตต์” คืออะไร
ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
พาวเวอร์ซัพพลายจะทำตลาดตามพลังงานสูงสุดที่ผลิตได้ออกมา คำว่าพาวเวอร์ซัพพลาย 300 วัตต์ หมายความว่า
มันสามารถจัดหาพลังงานสูงสุดไปยังคอมพิวเตอร์ที่ 300 วัตต์
ค่ากำลังสูงสุดของพลังงานที่จัดหาให้อาจจะคำนวณง่าย ๆ
ได้โดยการคูณความต่างศักย์ของเอาต์พุตแต่ละอย่างแล้วนำผลที่ได้มาบวกเข้าด้วยกัน
เช่น ตารางข้างล่างแสดงวิธีพลังงานสูงสุดที่ผลิตขึ้นมาโดยพาวเวอร์ซัพพลายแบบ AT
300W โดยพลังงานที่ผลิตออกมาเป็นค่าความต่างศักย์ลบจะถูกบวกไปที่ผลรวมทั้งหมด
ไม่ใช่นำไปลบ จะเห็นว่าพาวเวอร์ซัพพลาย AT นี้สามารถผลิตพลังงานทั้งหมดมากกว่า
300W เล็กน้อย ดูตารางที่ 2
ความต่างศักย์เอาต์พุต
|
กระแสไฟฟ้า
|
พลังงานสูงสุด
|
+12V
|
12A
|
12 x 12 = 144W
|
+5V
|
30A
|
5 x 30 = 150W
|
-5V
|
0.3A
|
5 x 0.3 = 1.5W
|
-12V
|
1A
|
12 x 1 = 12W
|
ความจุทั้งหมดของพาวเวอร์ซัพพลาย
|
144 + 150 + 1.5 + 12
= 307.5W
|
ตารางที่ 2 ตัวอย่างการคำนวณจำนวนวัตต์ของพาวเวอร์ซัพพลายมาตรฐาน
AT
การคำนวณความจุสูงสุดของพาวเวอร์ซัพพลาย ATX มีความแตกต่างเล็กน้อยอันเนื่องมาจากแนวความคิดเรื่องพลังงานร่วมกัน
พาวเวอร์ซัพพลาย ATX จะรวมเอาต์พุต +3.3V กับ +5V เพื่อให้ค่าพลังงานใหม่ซึ่งก็คือพลังงานร่วมกัน
อันหมายความว่า ค่าที่นำมาพิจารณาเมื่อทำการคำนวณกำลังสุดของพาวเวอร์ซัพพลายคือ
ค่าของพลังงานร่วม ไม่ได้เป็นค่าเดี่ยวของเอาต์พุตสองอย่างนี้
ในตารางที่ 3 เรารวมค่ากระแสและพลังงานที่เกี่ยวข้องของพาวเวอร์ซัพพลายแบบ
ATX 300W เข้าด้วยกัน จะเห็นว่า ค่าของพลังงานร่วมกันคือ 150W
(+3.3V/+5V) ในการคำนวณกำลังสูงสุดของพาวเวอร์ซัพพลาย ATX เราทำการบวกค่าพลังงานของเอาต์พุต +12V เข้ากับพลังงานร่วมกัน
(+3,3V/5V), พลังงานของเอาต์พุต -12V และพลังงานของ
+5V Standby ผลที่ได้เป็นกำลังสูงสุดที่สามารถจ่ายไปให้คอมพิวเตอร์ได้
ความต่างศักย์เอาต์พุต
|
กระแสไฟฟ้า
|
พลังงานสูงสุด
|
+12V
|
8A
|
12 x 8 = 96W
|
+5V
|
30A
|
5 x 30 = 150W
|
+3.3V
|
14A
|
3.3 x 14 = 46.2W
|
+3.3V/+5V
|
150W
|
|
-5V
|
0.5A
|
5 x 0.5 = 2.5W
|
-12V
|
0.5A
|
12 x 0.5 = 6W
|
Standby
|
1.5A
|
5 x 1.5 = 7.5W
|
ความจุทั้งหมดของพาวเวอร์ซัพพลาย
|
96+ 150 +2.5 + 6 + 7.5 = 262W
|
ตารางที่ 3 ตัวอย่างการคำนวณค่าการจ่ายไฟของพาวเวอร์ซัพพลาย
ATX 300 วัตต์
ตัวอย่างในตารางที่ 3 นี้เราจะเห็นว่า
พาวเวอร์ซัพพลายนี้อันที่จริงเป็นพาวเวอร์ซัพพลาย 262W ไม่ใช่
300W ดังที่ได้โฆษณาไว้
โชคไม่ดีที่นี่คือเรื่องจริงที่เราพบเห็นกันทั่วไปว่าผู้ผลิตพาวเวอร์ซัพพลายแจ้งบอกค่าพลังงานสูงสุดอย่างไม่ถูกต้อง
วิธีที่ง่ายที่สุดในการค้นหาค่าพลังงานสูงสุดที่แท้จริงที่พาวเวอร์ซัพพลายสามารถทำได้คือ
การคำนวณตามสูตรที่ได้กล่าวมาแล้ว
อย่างไรก็ดี ค่าที่ได้จากการคำนวณไม่ได้หมายความว่า
พาวเวอร์ซัพพลายจะสามารถให้พลังงานตามที่คำนวณไว้ได้
มันเป็นเพียงแค่ตัวเลขของพาวเวอร์ซัพพลาย (ตามที่ติดป้ายบอก)เท่านั้น
เราต้องมีการทดสอบอย่างทั่วถึงในห้องทดลองโดยการใช้โหลดพลังงานเต็มที่เพื่อทดสอบดูว่า
พาวเวอร์ซัพพลายสามารถจ่ายค่าตัวเลขนี้ได้จริง
ประสิทธิภาพของพาวเวอร์ซัพพลาย
ประสิทธิภาพของแหล่งจ่ายไฟแสดงจำนวนเปอร์เซ็นต์ไฟฟ้ากระแสสลับที่ถูกแปลงเป็นไฟฟ้ากระแสตรงอย่างมีประสิทธิภาพ
มันคือความแตกต่างระหว่างการใช้พลังงานที่แหล่งจ่ายไฟส่งออกมากับส่วนที่ถูกดูดซับโดยระบบไฟฟ้าอย่างมีนัยสำคัญ
ถ้าแหล่งจ่ายไฟจ่ายเอาต์พุตออกมา 150W และใช้พลังงาน 200W จากระบบไฟฟ้าในเวลาเดียวกัน
เราสามารถสรุปได้ว่า แหล่งจ่ายไฟนี้มีประสิทธิภาพ 75% ความแตกต่าง
จำนวน 50W ในตัวอย่างนี้ ถูกแพร่กระจายในรูปของความร้อน
อันหมายความว่า แหล่งจ่ายไฟที่มีดัชนีประสิทธิภาพสูงกว่า
จะก่อให้เกิดความร้อนภายในเคสน้อยกว่าแหล่งจ่ายไฟที่มีดัชนีประสิทธิภาพต่ำกว่า
แหล่งจ่ายไฟอาจเป็นหนึ่งในหลายส่วนประกอบที่ก่อให้เกิดความร้อนภายในเคสของคอมพิวเตอร์
แหล่งจ่ายไฟที่ราคาแพงกว่าซึ่งมีระดับประสิทธิภาพสูงกว่า
มีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดความร้อนน้อยกว่าที่รุ่นที่มีราคาถูกกว่า
เนื่องจากในปัจจุบัน สิ่งที่ควรคำนึงถึงตอนประกอบพีซีคือ ความร้อนสูง
ดังนั้นเราควรนำข้อมูลข่าวสารนี้มาพิจารณา
ถอดรหัส Power Factor
Correction อีกอย่างที่ควรรู้เกี่ยวกับพาวเวอร์ซัพพลาย
Power Factor Correction (PFC) หรือการแก้ไขค่าตัวประกอบกำลังเป็นคำศัพท์ที่บริษัทผู้ผลิตพาวเวอร์ซัพพลายคิดค้นออกมา
อย่างไรก็ดี
คำศัพท์นี้ก่อให้เกิดความสับสนพอสมควรเพราะผู้ผลิตแต่ละรายให้คำนิยามของคำศัพท์นี้แตกต่างกันไป
ซึ่งมีการพูดถึงการแก้ไขค่าตัวประกอบกำลังมากมาย
แต่คำอธิบายส่วนใหญ่ก่อให้เกิดความสับสนหรือไม่ตรงประเด็น
รายละเอียดต่อไปนี้จะสรุปนิยามของการแก้ไขค่าตัวประกอบกำลังเพื่อความชัดเจนว่าจริง
ๆ แล้ว PFC คืออะไร
นิยามของ PFC
ก่อนอื่น เรามาดูนิยามของ PFC ของผู้ผลิตแต่ละรายกันก่อน เริ่มด้วย Zalman
ที่ให้คำนิยามของ PFC ไว้ดังนี้“ระบบแหล่งจ่ายไฟที่มีเครื่องปรับแรงดันแบบสวิตชิ่งจะมีวงจรแปลงไฟที่ทำหน้าที่แปลงไฟอินพุตกระแสสลับให้เป็นไฟกระแสตรงเพื่อป้อนไฟให้วงจรหลัก
วงจรแปลงไฟนี้ประกอบด้วยตัวเก็บประจุขนาดใหญ่ซึ่งทำหน้าที่ปรับไฟกระแสตรงให้มีความราบเรียบมากขึ้นและช่วยให้วงจรรักษาระดับแรงดันสามารถทำงานได้ตามต้องการ
อย่างไรก็ดี ประจุยอด (peak charge) ของตัวเก็บประจุจะมีค่าสูงขึ้นเมื่อต้องการค่าความจุมากขึ้น
ซึ่งค่านี้ก่อให้เกิดกระแสไฟกระชากแบบไม่เป็นเชิงเส้นแก่วงจรหลัก
นอกจากนี้ยังทำให้เกิดความบิดเบือนต่อแรงดันไฟฟ้า, ความถี่ฮาร์มอนิก
(harmonic คือส่วนประกอบในรูปสัญญาณคลื่นไซน์ของสัญญาณหรือปริมาณเป็นคาบใด
ๆ ซึ่งมีความถี่เป็นจำนวนเต็มเท่าของความถี่หลักมูล เช่น
ไฟฟ้าในประเทศไทยมีความถี่หลักมูลเท่ากับ 50 Hz ผลของฮาร์มอนิกเมื่อรวมกันกับสัญญาณความถี่หลักมูลทำให้สัญญาณที่เกิดขึ้นมีขนาดและรูปสัญญาณเพี้ยนไป
และทำให้ค่า power factor ลดลง) ปัจจุบัน
ได้มีการกำหนดมาตรฐานสากลสำหรับควบคุมฮาร์มอนิก (IEC100-3-2) และเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไปที่ใช้ไฟอย่างน้อย 70 วัตต์ในประเทศแถบยุโรปต้องมีการนำ
PFC มาใช้นับตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 2001”
สำหรับ Enermax ได้ให้นิยามไว้ดังนี้
“ค่าตัวประกอบกำลังเท่ากับ 95 เปอร์เซ็นต์ที่แรงดันกระแสสลับ
230 โวลต์ขณะมีการใช้งานอย่างเต็มที่ ตั้งแต่วันที่ 1
มกราคมปี 2001 ประเทศในสหภาพยุโรปต้องมีการนำมาตรฐาน
EN61000-3-2 (ฮาร์มอนิกของสายไฟ) และ EN61000-3-3 (การกระเพื่อมของสัญญาณในสายไฟ) มาใช้
และสินค้าทุกชิ้นที่ส่งมายังประเทศในสหภาพยุโรปหรือวางตลาดในประเทศในสหภาพยุโรปต้องทำตามมาตรฐานทั้งสองตัวนี้”
ซึ่งดูแล้วยิ่งสับสน ดังนั้นเรามาสร้างความชัดเจนกัน
การแก้ไข Power Factor
อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ประกอบด้วยมอเตอร์
หรือหม้อแปลงดังเช่นพาวเวอร์ซัพพลาย จะมีการใช้พลังงานสองแบบคือ active (วัดค่าเป็น KWh) และ reactive (วัดค่าเป็น kVAh) โดยพลังงาน active คือพลังงานที่ผลิตงานจริง เช่น
การหมุนของแกนมอเตอร์ ส่วนพลังงาน reactive (ยังเรียกว่าเป็นพลังงานแม่เหล็ก)
คือพลังงานที่ต้องการเพื่อผลิตสนามแม่เหล็กเพื่อช่วยให้การทำงานจริงทำได้บนหม้อแปลง,
มอเตอร์ ฯลฯ ผลรวมของเวคเตอร์ของพลังงาน reactive และพลังงานจริงเรียกว่าพลังงาน apparent และวัดค่าออกมาเป็น
kVAh สำหรับลูกค้าอุตสาหกรรม
การไฟฟ้าวัดและคิดค่าการใช้โดยยึดถือพลังงาน apparent แต่สำหรับลูกค้าที่อยู่อาศัยและธุรกิจการค้า
พลังงานที่วัดและคิดค่าคือพลังงาน active
ปัญหาคือ แม้ว่าจะมีความจำเป็นต่อมอเตอร์และหม้อแปลง ส่วนพลังงาน Reactive “ครอบครองพื้นที่ว่าง”บนระบบซึ่งพลังงาน active สามารถนำไปใช้ได้มากกว่า
Power factor คืออัตราส่วนระหว่างพลังงาน active
และพลังงาน apparent ของวงจร (power
factor = พลังงาน active หารด้วยพลังงาน apparent)
อัตราส่วนนี้สามารถแปรเปลี่ยนได้ตั้งแต่ 0 (0%) ถึง 1 (100%) ค่าที่ใกล้ 1 มากที่สุดแสดงถึงข้อดีที่มากกว่าเพราะมันหมายความว่า
วงจรดูดซับพลังงาน reactive น้อยกว่า
เพื่อที่ว่าจะทำให้เกิดการใช้พลังงาน Reactive ให้พอเหมาะ
หลายประเทศได้จัดตั้งกฎหมายของจำนวนเปอร์เซ็นต์พลังงาน reactive สูงสุดที่ลูกค้าสามารถใช้ได้ ถ้าลูกค้ามี power factor ต่ำกว่าค่าที่ตั้งไว้โดยทางรัฐบาล (นั่นคือพลังงาน reactive สูงกว่าขีดจำกัดที่ตั้งไว้ตามกฎหมาย) ลูกค้าจะต้องเสียค่าปรับ
แนวคิดเรื่องค่าปรับมีอยู่เพื่อบังคับให้อุตสาหกรรมปรับปรุง Power factor ได้ดีขึ้น
และเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาใช้พลังงาน reactive มากขึ้น
เนื่องจากพลังงานประเภทนี้จะโอเวอร์โหลดระบบด้วยประเภทของพลังงานที่ใช้ไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
แต่มันจำเป็นในการทำให้มอเตอร์และหม้อแปลงสามารถปฏิบัติการได้
โดยทั่วไป การปรับปรุงนี้ประกอบด้วยการตรวจสอบว่า
มีมอเตอร์หรือหม้อแปลงที่ทำงาน “เปล่า ๆ” หรือมีขนาดใหญ่เกินไป โดยพลังงาน reactive
มีความจำเป็นสำหรับการปฏิบัติการเมื่อมีโหลดสูงสุดและเกือบมีความจำเป็นเช่นเดียวกันสำหรับปฏิบัติการเมื่อมีโหลดต่ำ
กล่าวคือ ถ้ามอเตอร์ทำงานเมื่อมีโหลดต่ำ มันจะใช้พลังงาน active น้อยลง แต่ปริมาณการใช้พลังงาน reactive ยังคงเท่ากับเมื่อมันทำงานเมื่อมีโหลดสูงสุด
ทำให้เกิด Power factor ที่ต่ำ
มีหลายประเทศเริ่มต้นออกกฎหมายซึ่งบังคับให้ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับผู้บริโภคทำตามมาตรฐาน
Power factor เช่นเดียวกับที่ได้เคยเรียกร้องให้อุตสาหกรรมต่าง ๆ ปฏิบัติตาม
เมื่อเดือนมกราคม ปี 2001 สหภาพยุโรปเริ่มต้นต้องการให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดที่ขายในประเทศที่มีการใช้พลังงานเกิน
70 วัตต์จะต้องมีวงจรแก้ไข Power factor เพื่อที่ว่าจะใช้พลังงาน reactive ของระบบไฟฟ้าน้อยกว่าที่เป็นไปได้
มีการคาดหมายกันจากประเทศอื่น ๆ เช่นกันว่า พวกเขาจะเริ่มต้นใช้มาตรการเหมือนกัน
ด้วยเหตุผลนี้ ผู้ผลิตพาวเวอร์ซัพพลายที่ต้องการขายในยุโรปในปี 2001 จะต้องเริ่มต้นผลิตแหล่งจ่ายไฟที่มีวงจรแก้ไข
Power factor หรือที่เรียกกันอย่างย่อว่า PFC (Power
Factor Correction)
วงจร PFC มีสองแบบคือ
passive และ active โดย passive
PFC ใช้ส่วนประกอบซึ่งไม่ต้องมีการจ่ายไฟให้ (เช่นคอยล์แกนเฟอร์ไรต์)
และมีค่า Power factor อยู่ระหว่าง 0.60 (60%) และ 0.80 (80%) ส่วน active PFC จะมีการออกแบบเป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ซับซ้อนกว่า
หรืออาจจะใช้ไอซีสำเร็จรูป ทรานซิสเตอร์และไดโอด ตามที่ผู้ผลิตแต่ละรายออกแบบไว้
มันสามารถก่อให้เกิด Power factor เกิน 0.95 (95%) เมื่อเป็นเช่นนี้ภาคจ่ายไฟแบบทั่วๆ ไปที่ไม่มีวงจร PFC เลยจะมีค่า Power factor ต่ำกว่า 0.60 (60%)
PFC ไม่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพและเป็นเรื่องเข้าใจผิดที่เราพบได้ในตลาดมากขึ้น
วงจรนี้ไม่ได้ทำให้คอมพิวเตอร์ใช้ไฟฟ้าน้อยลงดังที่ได้อธิบายแล้ว หน้าที่ของ PFC
คือป้องกันแหล่งจ่ายไฟจากการใช้พลังงาน reactive จากระบบไฟฟ้ามากขึ้น เป็นผลให้ใช้ได้พอเหมาะในระบบไฟฟ้า
(อนุญาตให้การไฟฟ้าจัดหาพลังงาน active ได้มากขึ้น)
การเสริมวงจรแบบนี้กระทำไปเพื่อทำตามที่กฎหมายกำหนดโดยไม่คำนึงถึงการบริโภคไฟฟ้า
(โดยเฉพาะประเทศในแถบยุโรป)
ในขณะที่การยอมรับกฎหมายเดียวกันมีแนวโน้มเกิดขึ้นในประเทศอื่น
ผู้ผลิตกำลังเตรียมการในการผลิตแหล่งจ่ายไฟที่ประกอบด้วยวงจรแบบนี้
ว่ากันตามตรง การมีหรือไม่มี PFC ไม่ได้ก่อให้เกิดผลดีแก่ผู้บริโภคทั่วไป
เอาเป็นว่าแหล่งจ่ายไฟกับวงจรแบบนี้ค่อนข้างเป็นความเคลื่อนไหวทางการตลาดของผู้ผลิตแหล่งจ่ายไฟที่ชักชวนให้ลูกค้าซื้อแหล่งจ่ายไฟที่แพงกว่า
ทั้งที่จริงแล้ว แหล่งจ่ายไฟแบบนี้ให้ประโยชน์แก่การไฟฟ้า
ซึ่งช่วยให้เกิดความจำเป็นในการจัดหาพลังงาน reactive ซึ่งโอเวอร์โหลดระบบอยู่น้อยลง
แต่สำหรับผู้บริโภคทั่วไปแล้ว ไม่มีความแตกต่าง เพราะว่า อย่างน้อยที่สุดในเวลานี้
เราไม่ได้ถูกเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มในกรณีที่ใช้พลังงาน reactive เกินค่าที่ตั้งไว้ดังที่เกิดขึ้นกับลูกค้าอุตสาหกรรม
แต่ถ้ามองด้วยความเชื่อมโยงกันในโลกปัจจุบันไม่ว่าการลดการใช้พลังงานหรือการใช้พลังงานไฟฟ้าให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดมันก็เท่ากับว่าเราใช้ทรัพยากรที่จะนำมาผลิตไฟฟ้าได้อย่างคุ้มค่า
และถ้าอธิบายกับแบบละเอียดจริงๆ
เรื่องนี้มันสามารถจะโยงใยไปถึงเรื่องการลดภาวะโลกร้อนได้เลยทีเดียว
พออ่านมาถึงตรงนี้แล้วหลายคนก็ยังอาจจะคิดว่าการที่พาวเวอร์ซัพพลายมีค่า
Power Factor เข้าใกล้ 1 มากๆ
นั้นจะช่วยให้ลดการใช้ไฟฟ้าหมายถึงลดค่าไฟด้วยใช้หรือไม่ คำตอบคือใช่
แต่มันนิดเดียว ตัวสำคัญจริงๆ ที่จะทำให้การใช้ไฟอย่างประหยัดและคุ้มค่าก็คือ
ประสิทธิภาพในการจ่ายไฟของพาวเวอร์ซัพพลาย
จำเรื่องที่เราบอกไปว่าพาวเวอร์ซัพลายส่วนใหญ่จ่ายไฟได้ไม่เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ได้ไหม นี่แหละเจ้าสิ่งนี้แหละคือประเด็น
www.80plus.org ชมรมพาวเวอร์ซัพพลายประสิทธิภาพสูง
อย่างที่บอกไปว่าโดยทั่วไปแล้วพาวเวอร์ซัพพลายจะจ่ายพลังงานจริงๆ
ได้เพียง 65 ถึง 70
เปอร์เซ็นต์กว่าๆ เท่านั้นเอง หรือพูดง่ายๆ ก็คือพาเวอร์ซัพพลาย 100
วัตต์ อาจจะจ่ายพลังงานได้เพียง 65 วัตต์ หรือ
70 วัตต์ เท่านั้น ถ้าเรานำพาเวอร์ซัพพลาย 100 วัตต์ ตัวนี้ไปต่อให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้า อุปกรณ์ตัวนั้นก็อาจจะทำงานไม่ได้
หรือทำงานได้ไม่เต็มที่
เมื่อมีปัญหานี้เกิดขึ้นมาโดยเฉพาะในช่วงสามปีมานี้
อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ได้พัฒนาให้มีประสิทธิภาพในการทำงานที่สูงขึ้น
ในขณะเดียวกันก็มีความต้องการในการใช้พลังงานที่มากขึ้นตามไปด้วย
แต่พาวเวอร์ซัพพลายส่วนใหญ่ไม่สามารถจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เหล่านั้นได้อย่างเพียงพอ
เพราะการบอกจำนวนวัตต์บนตัวพาวเวอร์ซัพพลายมันเป็นวัตต์ที่จ่ายได้สูงสุดในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
ไม่ใช้การจ่ายพลังงานได้ในแบบต่อเนื่อง
ในปี 2004 ได้มีการริเริ่มแนวความคิดเรื่องการจัดตั้งองค์กรไม่แสวงผลกำไรอย่าง
80 Plus ขึ้นมาเพื่อให้มีการกำหนดมาตรฐานของผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมของพาวเวอร์ซัพพลาย
ไม่ว่าจะเป็นพาวเวอร์ซัพพลายของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใดๆ
หรือพาวเวอร์ซัพพลายสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ ต่างก็ให้ความสนใจและเข้าร่วมกับ 80
Plus กันอย่างมากมาย
นอกจากนี้แล้วในปี 2006 Energy Star ซึ่งเป็นโครงการของหน่วยงานด้านการป้องกันมลพิษสิ่งแวดล้อมของอเมริกาก็ได้มีการเพิ่มเติมคุณสมบัติของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่จะได้รับการรองรับมาตรฐาน
Energy Star 4.0 จะต้องใช้พาเวอร์ซัพพลายที่ผ่านการรับรองตามมาตรฐานของ
80 Plus ด้วย
เมื่อเป็นแบบนี้จึงทำให้ผู้ผลิตพาวเวอร์ซัพพลายจำนวนมากทำการผลิตพาวเวอร์ซัพพลายเพื่อให้ผ่านมาตรฐานของ
80 Plus มากยิ่งขึ้น
ใบรับรองของหรือมาตรฐานของ 80 Plus เองก็มีอยู่ด้วยกันถึง 4 ระดับ ได้แก่ 80 Plus E-Star 4.0, 80 Plus Bronze, 80 Plus Silver และ 80 Plus Gold
LOAD
|
20%
|
50%
|
100%
|
80 Plus E-Star 4.0
|
80%
|
80%
|
80%
|
80 Plus Bronze
|
82%
|
85%
|
82%
|
80 Plus Silver
|
85%
|
88%
|
85%
|
80 Plus Gold
|
87%
|
90%
|
87%
|
ตารางที่ 4 มาตรฐานต่างๆ
ของ 80 PLUS จะเห็นได้ว่าไม่ว่าสภาวะของโหลดจะมากน้อยขนาดไหน
พาวเวอร์ซัพพลายก็ควรจะจ่ายไฟได้อย่างต่อเนื่องโดยมีการสูญเสียของพลังงานไม่เกิน 20%
รูปโลโกของผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจาก 80 Plus
เมื่อเป็นอย่างนี้ถ้าเราไม่มีความรู้อะไรเลยอย่างน้อยๆ
เราก็ควรจะเลือกพาวเวอร์ซัพพลายที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน 80 PLUS อย่างใดอย่างหนึ่ง
ซึ่งแน่นอนว่าส่วนใหญ่ก็คงจะเป็น 80 PLUS E-Star 4.0 อันนี้เป็นเรื่องปกติ
เพราะถ้าทางผู้ผลิตออกแบบให้พาวเวอร์ซัพพลายทำงานได้ตามมาตรฐานของ 80 PLUS ในระดับ GOLD แล้วละก็พาวเวอร์ซัพพลายเองก็มีราคาที่สูงขึ้นตามไปด้วย
และพอราคาสูงขึ้นมันก็หาคนที่มาซื้อใช้งานขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน
อุปกรณ์
|
จำนวนวัตต์ที่ใช้
|
Motherboard
|
15-30
|
Low-end CPU
|
20-50
|
Midrange to high-end
CPU
|
40-100
|
RAM
|
2-3 วัตต์
ต่อ 512MB
|
PCI add-in card
|
5
|
Low to midrange
Graphics Card
|
20-60
|
High-End Graphics
Card
|
60-100
|
Hard disk drive
|
10-30
|
Optical drives
|
10-25
|
Case Fan
|
1-5
|
ตารางที่ 4 การใช้พลังงานของอุปกรณ์ต่างๆ
โดยประมาณ มีหน่วยเป็นวัตต์
จำแนกการใช้พลังงาน
บางคนอาจบอกให้คุณบวกตัวเลขวัตต์ของชิ้นส่วนต่างๆ
ทั้งหมดที่อยู่ในพีซีเข้าด้วยกัน ตัวอย่างเช่นซีพียูใช้ไฟ 87.5W เมนบอร์ดใช้ไฟ 23.5W
ดังนั้นในตอนนี้คุณจึงต้องการใช้ไฟอย่างน้อย 111W ถ้าหากคุณบวกตัวเลขที่เหลือทั้งหมด คุณก็น่าจะทราบวัตต์ที่ต้องการได้แล้ว
ปัญหาก็คือพาวเวอร์ซัพพลายไม่ได้ใช้ตัวจ่ายพลังงานที่เท่ากันหมดทุกช่องทาง
อัตราการใช้ไฟ 87W ของซีพียูจะไม่มีความหมายใดๆ
ถ้าหากคุณไม่ทราบว่าไฟ 87.5W มาจากไหน
นั่นก็คือซีพียูได้ไฟมาจากชุดจ่ายไฟแบบ +5V หรือ +12V
กันแน่ เพราะอย่างที่บอกไปในตอนต้นๆ ของบทความแล้วว่าเราต้องดูจำนวนวัตต์ที่ใช้ตามความสามารถของการจ่ายไฟแต่ละชุด
ไม่ใช้วัตต์รวมของพาวเวอร์ซัพพลาย
ซีพียูในยุคเพนเทียมทรี และซีพียูทั้งหมดก่อนหน้านั้นใช้ไฟ +5V การที่ซีพียูเป็นตัวกินไฟมากที่สุดในพีซีแบบ
x86 ดังนั้นพาวเวอร์ซัพพลายจึงต้องกระแส (Amp) ให้กับชุด +5V ในปริมาณที่มากพอ ส่วนซีพียูรุ่นใหม่ๆ
ตั้งแต่ยุคของ Intel Pentium 4 และ AMD Athlon ซีพียูเหล่านี้จะใช้พลังงานจากชุดจ่ายไฟ +12V ดังนั้นถ้าเราต้องการให้ซีพียูของเรามีเสถียรภาพในการทำงาน
รวมก็ควรจะไปทำการรวมอุปกรณ์ทั้งหมดว่าใช้ไฟ +12V กี่วัตต์
ใช้ +5V กี่วัตต์ +3.3V กี่วัตต์
ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะทำให้เราสามารถเลือกซื้อพาวเวอร์ซัพพลายได้อย่างถูกต้องมากที่สุด
ในตารางที่ 5 เราได้พยายามรวบรวมข้อมูลของการใช้กระแสไฟฟ้าของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆ
มาไว้ให้ดู
โดยข้อมูลเหล่านี้เราพยายามเลือกค่าสูงสุดที่อุปกรณ์แต่ละตัวใช้งานเพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการนำไปคำนวณ
อุปกรณ์บางตัวอาจจะใช้ไฟมากกว่าหนึ่งชุด
อย่างเช่นกราฟิกการ์ดประสิทธิภาพสูงที่ต้องการไฟ +12V เพิ่มเติมอย่างชัดเจน
แต่เราก็ไม่มีข้อมูลว่าต้องการไฟ +3.3V และ +5V เท่าไหร่ ซึ่งเวลาเราคำนวณจริงๆ เราอาจจะต้องเผื่อค่าสำหรับความไม่รู้ตรงนี้ไว้อย่างน้อยๆ
10%
อย่างไรก็ตามอุปกรณ์อย่างฮาร์ดดิสก์
และออปติคอลไดร์ฟทั้งหลายถือเป็นตัวอย่างที่ดีเพราะบนตัวอุปกรณ์จะบอกให้เราทราบเลยว่าใช้ไฟ
+5V กี่แอมป์
ใช้ไฟ +12V ที่แอมป์ทำให้เราสามารถคำนวณตรงกับอุปกรณ์ที่เราใช้งานจริงได้
แต่สำหรับอุปกรณ์อื่นๆ มีความพยายามที่จะเรียกร้องให้ผู้ผลิตอุปกรณ์เหล่านั้นบอกไว้ด้วยว่าต้องการใช้ไฟขนาดกี่โวลต์กี่แอมป์
แต่ดูเหมือนว่าไม่ได้รับการตอบสนอง อย่างดีก็บอกแค่ว่าใช้กับไฟกี่โวลต์
หรืออุปกรณ์ตัวนั้นๆ ใช้ไฟกี่วัตต์เท่านั้นเอง
อัตราการใช้กระแสไฟฟ้า
(ค่าโดยประมาณ)
|
|||
+3.3V
|
+5V
|
+12V
|
Device
|
n/a
|
n/a
|
5A
|
CPU – Low end
|
n/a
|
n/a
|
10A
|
CPU – High end
|
3A
|
2A
|
0.5A
|
Motherboard ที่มี Sound, LAN
|
0
|
0
|
0.25A
|
พัดลมระบายความร้อน
(รวมถึงพัดลมในตัวพาวเวอร์ซัพพลายด้วย)
|
0
|
.5A
|
0
|
Memory / 512MB DDR
|
3A
|
n/a
|
2A
|
Graphics Card –
Normal
|
n/a
|
n/a
|
10A
|
Graphics Card – High
Performance
|
0.5A
|
0.7A
|
0
|
PCI Sound
|
0.4A
|
0.4A
|
0
|
PCI Network Card
|
0
|
0.6A
|
0.7A
|
Hard Disk
|
0
|
1.2A
|
1.2A
|
DVD-Writer
|
0
|
1.5A
|
1.5A
|
Blue-ray Drive
|
0
|
0.8A
|
0
|
Floppy
|
0
|
0.5A
|
0
|
USB devices
|
0
|
0.25A
|
0
|
Keyboard
|
0
|
0.25A
|
0
|
Mouse
|
0
|
0.5
|
0
|
PCI Modem
|
0
|
1.6
|
0
|
FireWire
|
ตารางที่ 5 ข้อมูลการใช้พลังงานของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์โดยประมาณ
ชุดจ่ายไฟ
|
3.3V
|
5V
|
12V
|
CPU
|
8
|
||
MAINBOARD
|
3
|
2
|
0.5
|
RAM 1 GB # 1
|
1
|
||
RAM 1 GB # 2
|
1
|
||
Graphic Card
|
10
|
||
HDD #1
|
0.6
|
0.7
|
|
HDD #2
|
0.6
|
0.7
|
|
DVD-Writer
|
1.2
|
1.2
|
|
Mouse USB
|
0.5
|
||
Keyboard USB
|
0.5
|
||
FAN #1
|
0.25
|
||
FAN #2
|
0.25
|
||
FAN #3
|
0.25
|
||
รวมการใช้กระแส (Amps)
|
3
|
7.4
|
21.85
|
รวมการใช้พลังงาน (Watts)
|
9.9
|
37
|
262.2
|
รวมวัตต์ทั้งหมด
|
309.1
|
ตารางที่ 6 ตัวอย่างการคำนวณหาการใช้พลังงานไฟฟ้าของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
ค่าตัวเลขที่ใส่ในตารางคือค่าของการใช้กระแสไฟฟ้าจากชุดจ่ายไฟ +3.3V +5V และ +12V
จากตัวอย่างที่ 6
ถ้าเรานำข้อมูลมาพิจารณา
เราก็ต้องไปหาซื้อพาวเวอร์ซัพพลายที่สามารถจ่ายไฟ +3.3 V ได้
3 แอมป์ จ่ายไฟ +5V ได้ 7.4 A จ่ายไฟ +12V ได้ 21.85 แอมป์
แต่ในความเป็นจริงชุดจ่ายไฟ +3.3V กับ +5V นั้นจะใช้วงจรชุดเดียวกันดังนั้นคุณจะต้องดูพาวเวอร์ซัพพลายที่จ่ายไฟ +3.3V
และ +5V ที่ระดับไม่น้อยกว่า 10A อย่างไรก็ดีนี่เป็นการคำนวณโดยประมาณเท่านั้น
เพราะค่าการใช้กระแสไฟฟ้าของอุปกรณ์บางตัวเราไม่มีข้อมูลอย่างครบถ้วน
แต่อย่างน้อยมันก็พอทำให้เรามองเห็นภาพโดยประมาณว่าควรจะซื้อพาวเวอร์ซัพพลายที่มีคุณสมบัติอย่างไร
เลือกซื้อแบบง่ายๆ
ที่บอกมาทั้งหมดนั้นมันอาจจะดูเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อนและยุ่งยากเกินกว่าจะใช้เวลาอันสันในการทำความเข้าใจ
อย่างไรก็ตามมันก็มีวิธีเลือกซื้อในทางปฏิบัติมาแนะนำบ้างอยู่เหมือนกัน
1. พาวเวอร์ซัพพลายที่ซื้อควรจะเป็นมาตรฐาน ATX
2.x
2. เป็นพาวเวอร์ซัพพลายที่มีคอนเน็คเตอร์สำหรับเมนบอร์ดแบบ
24 pin หรือแบบ 20+4 pin
3. เป็นพาวเวอร์ซัพพลายที่มีคอนเน็คเตอร์ AUX
12 โวลต์ 4 pin อย่างน้อย 1 เส้น
หรือถ้าคอมพิวเตอร์เราเป็นแบบประสิทธิภาพสูงเช่นต้องการใช้กับซีพียูแบบ Quad-Core
ก็ให้เลือกพาวเวอร์ซัพพลายที่มี AUX 12 โวลต์แบบ
8 pin หรือถ้าจะให้ดีมันมีพาวเวอร์ซัพพลายบางรุ่นจะมีคอนเน็คเตอร์
AUX 12 โวลต์ แบบ 4+4 ให้ใช้ ก็น่าสนใจ
หมายถึงเป็นแบบ 4 pin สองตัวประกบกันเป็น 8 pin และแยกกันได้เมื่อต้องการใช้แบบ 4 pin
4. ควรเลือกซื้อพาวเวอร์ซัพพลายที่มีคอนเน็คเตอร์สำหรับต่อกับฮาร์ดดิสก์หรือออปติคอลไดร์ฟแบบ
SATA อย่างน้อย 4 ชุด
ถ้ามากกว่าได้ก็ยิ่งดี
5. ถ้าคุณต้องการใช้กราฟิกการ์ดพลังสูงก็มองหาพาวเวอร์ซัพพลายที่มีคอนเน็คเตอร์ที่เรียกว่า
PCI-E ซึ่งจะเป็นคอนเน็คเตอร์แบบ 6 pin อย่างน้อยหนึ่งเส้น แต่ถ้าจะให้ดีก็ดูรุ่นที่มันมี PCI-E 6 pin อย่างน้อยสักสองเส้นจะดีที่สุด
6. ถ้าคุณต้องการใช้กราฟิกการ์ดแบบ SLI หรือแบบ CrossFire ก็ให้มองหาพาวเวอร์ซัพพลายที่มีโลโก้ประเภท
SLI Ready หรือ CrossFire Ready เอาไว้ได้เลย
เพราะกราฟิกการ์ดพวกนี้จะต้องใช้พลังงานที่สูง
7. เลือกซื้อพาวเวอร์ซัพพลายเป็นอุปกรณ์ตัวสุดท้าย
โดยคุณควรจะทำการดูคู่มือของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แต่ละชิ้นก่อนว่าต้องการแรงดันไฟแต่ละแบบเป็นอย่าไร
แล้วลองใช้วิธีคำนวณตามตัวอย่างตารางที่ 6 หรือถ้าขี้เกียจจริงๆ
ก็ให้ลองสำรวจดูว่าคู่มือที่เราอ่านมานั้นมีอุปกรณ์ตัวไหนที่บอกว่าต้องใช้พาวเวอร์ซัพพลายขนาดกี่วัตต์
เท่าที่ลองใช้วิธีนี้
เราพบว่ากราฟิกการ์ดจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงการเลือกพาวเวอร์ซัพลายได้ดีที่สุด
เพราะในคู่มือของกราฟิกการ์ดจะบอกเลยว่าควรจะใช้กับพาวเวอร์ซัพพลายขนาดกี่วัตต์
แหล่งจ่ายไฟหรือที่มักจะเรียกทับศัพท์ว่าเพาว์เวอร์ซัพพลาย
เป็นส่วนประกอบที่สำคัญส่วนหนึ่งทำหน้าที่แปลงสัญญาณ
ไฟฟ้ากระแสสลับจากแหล่งกำเนิดให้เป็นไฟฟ้ากระแสตรงด้วยความต่างศักย์ที่เหมาะสมก่อนเข้าสู่คอมพิวเตอร์ โดยมีสายเชื่อมต่อไปยังอุปกรณ์ประกอบต่าง ๆ
ภายในเครื่อง ซึ่งในการแปลงสัญญาณไฟฟ้าดังกล่าวนี้จะก่อให้เกิดความร้อนขึ้นด้วย
ดังนั้นภายในแหล่งจ่ายไฟจึงต้องมีพัดลมเพื่อช่วยในการระบายความร้อนออกจากตัวเครื่องซึ่งมีความสำคัญมาก
เพราะการที่เครื่องมีความร้อนที่สูงมาก ๆ นั้น อาจจะเกิดความเสียหายต่ออุปกรณ์ประกอบภายในเครื่องได้ง่าย ปกติแล้วมักจะไม่ค่อยมีการเลือกซื้อพาว์เวอร์ซัพพลายกันนักถ้าไม่ใช่เนื่องจากตัวเก่าที่ใช้อยู่เกิดเสียไปโดยมากเราจะเลือกซื้อ
มาพร้อมกับเคส
|
เพาว์เวอร์ซัพพลายจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
|
1. แบบ AT
|
2. แบบ ATX
|
ปัญหาที่เกิดจาก Power Supply
|
คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์จะทำงานได้ต้องมีแหล่งจ่ายไฟให้พลังงานซึ่งต้องอาศัย power supply เป็นตัวจ่ายไฟให้กับเครื่องดัวนั้นหากอุปกรณ์ตัวนี้มีปัญหาหรือเสียซึ่งทำให้เราปวดหัวได้เหมือนกัน
|
power supply คือ power supply เป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่แปลงไฟฟ้ากระแสสลับให้เป็นกระแสตรงเพื่อจ่าย
ให้กับอุปกรณ์อื่น เช่น เมนบอร์ด ซีพียู แรม ฮาร์ดดิสก์ ฟล็อบปี้ดิสก์ไดร์
และซีดีรอมไดร์หาก power supply มีคุณภาพดีจ่ายกระแสไฟได้เที่ยงตรง ถูกต้อง
ให้กับอุปกรณ์อื่นในเครื่องคอมพิวเตอร์คอมพิวเตอร์ก็จะทำงานได้ดีไปด้วย
หากการจ่ายไฟไม่เที่ยงตรงสม่ำเสมอก็จะทำให้การทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ
มีปัญหาไปด้วย
|
power supply เป็นอุปกรณ์ที่อาจสร้างปัญหาให้กับเครื่องของเราได้
หาก power supply เสียก็มักไม่ซ่อมกันเพราะไม่คุ้ม
เพราะราคาของไหม่เพียง 500-800 บาทเท่านั้น แต่ก็มีอาการเสียของคอมพิวเตอร์หลายอย่างที่มักเกี่ยวข้องกับ power supply ด้วยเช่นกัน
เครื่องทำงานรวนตรวจเช็คอุปกรณ์มนเครื่องแล้วไม่เสีย
อยากทราบสาเหตุอาการแบบนี้เป็นอาการเสียที่มักคาดไม่ถึงเพราะหาสาเหตุยากเนื่องจากช่างส่วนใหญ่จะคิดว่าอาการรวนของเครื่องมาจาก
แรม ซีพียู เมนบอร์ด เท่านั้น แต่ไม่ได้นึกถึง Power supply จึงข้ามการตรวจสอบในส่วนนี้ไปหากนำ Power supply ที่สงสัยมาตรวจวัดมาตรวจวัดแรงดันไฟจะพบว่าจ่ายกระแสไฟฟ้าไม่สม่ำเสมอซึ่งมีสาเหตุมาจากชำรุดเพราะใช้งานมานานหรือใช้ชิ้นส่วนราคาถูกจึงทำให้อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง
แรม ซีพียู เมนบอร์ด ฮาร์ดดิสก์ พลอยทำงานไม่ได้ไปด้วย
ซึ่งการแก้ไขก็คือให้เปลี่ยน Power supply ตัวใหม่ เครื่องก็จะทำงานได้ดีดังเดิม
|
สำหรับวิธีตรวจวัดแรงดันไฟของ Power supply มีดังนี้
|
1. ถอด Power supply และสายขั้วต่อจ่ายไฟที่โหลดให้กับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทั้งหมดออกและนำออกมาจากเคส
|
2. ปลอกสายไฟเส้นเล็กทั้งสองข้างและนำปลายอีกข้างหนึ่งไปเสียบเข้ากับช่องต่อของสายเส้นสีเขียวและอีกข้างหนึ่งเสียบเข้ากับช่องต่อของสายเส้นสีดำของขั้วจ่ายไฟสำหรับ
เมนบอร์ดของ Power supply
|
3. นำสายจ่ายไฟจาก Power supply เสียบเข้ากับขั้วรับไฟของซีดีรอมไดร์เพื่อยึดการ์ดแลนเข้ากับอุปกรณ์
|
4. นำสายไฟเข้ากับขั้วรับท้าย Power supply และนำปลายอีกข้างหนึ่งไปเสียบเข้ากับปลั๊กไฟบ้าน
|
5. นำขั้ววัดไฟลบ (สายสีดำ)
ไปเสียบเข้ากับจ่ายไฟสายสีดำและขั้ววัดไฟบวก (สายสีแดง)
ไปเสียบเข้ากับขั้วจ่ายไฟสายสีเหลืองเพื่อจะตรวจดูว่า Power Supply จ่ายไฟออกมาได้ 12 V.ถูกต้องหรือไม่
|
6. เปลี่ยนขั้ววัดไฟบวก (สายสีแดง)
ของมิเตอร์ไปเสียบเข้ากับขัวจ่ายไฟสายสีแดง
ส่วนขั้ววัดไฟลบของมิเตอร์ยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิมเพื่อจะตรวจดูว่า Power Supply จ่ายไฟออกมาได้ 5 V.ถูกต้องหรือไม่
|
7. หาพบว่า Power Supply จ่ายไฟออกมาสูงเกินหรือต่ำกว่า 5, 12 V. มากเกินไป
แสดงว่าเสียให้เปลี่ยนตัวใหม่แทนเครื่องก็จะทำงานได้ตามปกติ
|
พัดลมระบายความร้อนของ Power Supply เสียเปลี่ยนอย่างไร |
สำหรับผู้ที่เคยพบปัญหาเปิดเครื่องไม่ติดตรวจสอบอุปกรณ์ภายในเครื่องทั้งหมดแล้วไม่เสีย
จึงถอด Power Supply มาดู (สังเกตดูด้านหลังเครื่องก็ได้) พบว่าพัดลม Power Supply ไม่หมุนแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรสำหรับการแก้ไข
คือ ต้องหาซื้อพัดลมตัวใหม่มาเปลี่ยนในราคาตัวละประมาณ 80 - 100 บาท โดยแกะฝา Power Supply และถอดพัดลมตัวเก่าออกและทำการบัดกรีเพื่อเชื่อมสายพัดลมตัวใหม่เข้าบวงจร
โดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
|
1. เปิดฝาครอบ Power Supply ออกและถอดพัดลมระบายความร้อนตัวเดิมออกโดยใช้คีมตัดสายไฟพัดลมตัวเดิมออกจากวงจร
|
2. นำพัดลมระบายความร้อนตัวใหม่ที่เตรียมไว้ใส่แทนโดยทำการบัดกรีจุดเชื่อมต่อสายไฟใหม่ด้วยหัวแร้งพร้อมตะกั่วบัดกรี
ให้เชื่อมให้สนิทกัน
|
3. ใช้เทปพันสายไฟพันปิดรอยเชื่อมต่อเพื่อป้องกันไฟฟ้าลัดวงจรแล้วปิดฝาเครื่องนำไปประกอบเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์
และลองเปิดดู
|
การเปลี่ยน Power Supply แบบ ATX กรณีใช้เคส AT |
ภาพแสดง ATX Power Supply จากภาพสังเกตว่า Power Supply แบบ ATX นั้นแตกต่างจาก Power Supplyแบบปกติ สวิตช์หลักของ ATX จะอยู่บริเวณตัวถังของภาคจ่ายไฟ (Housing of Power Supply) แทนที่จะต่อออกมาด้วยสายเคเบิ้ลแล้วต่อสวิตช์รีเลย์ควบคุมเหมือนภาคจ่ายไฟด้วยวิธีนี้
เมื่อใดก็ตามที่สวิตช์หลักทางด้านหลัง Power Supply กดอยู่ในตำแหน่งเปิดภาคจ่ายไฟจะอยู่ในภาวะ Standby พร้อมจ่ายไฟทันทีและจะทำงานสมบูรณ์แบบต่อเมื่อมีสัญญาณจากเมนบอร์ดส่งผ่านสาย 5 Volt Standby
|
จากการทดสอบพบว่าบนเมนบอร์ดจะมีคอนเนคเตอร์สำหรับ Power ATX ปกติเคส ATX จะมีสายไฟสำหรับPower ATX เข้ามาต่อที่ตำแหน่งดังกล่าวเมื่อกดปุ่มสวิตช์คอมพิวเตอร์จะทำให้สถานะของ Power ATX อยู่ในสถานะOn และคอมพิวเตอร์ใช้งานได้ อย่างไรก็ตามสำหรับเคสแบบ AT นั้น ไม่มีสายไฟและคอนเนคเตอร์ดังกล่าวทำให้ประสบปัญหาคือจะเอาสวิตช์ที่ไหนมาควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ ครั้งหนึ่งในระหว่างการทดสอบเมนบอร์ดAT baby ที่สามารถต่อกับ ATX Power Supply พบว่าเมื่อเปลี่ยนเอา AT Power Supply ออก แล้วเอา ATX Power Supply มาใส่ จะไม่มีสวิตช์สำหรับเปิดคอมพิวเตอร์ แต่ในเคสจะมีสายไฟสำหรับปุ่ม reset และ SMI Green Modeซึ่งเมื่อพิจารณาการทำงานของ ATX ก็น่าจะนำเอาเข้ามาต่อกับคอนเนคเตอร์ของ Power ATX ได้ จึงนำสายไฟที่มีคอนเนคเตอร์สำหรับ Reset มาต่อเข้ากับตำแหน่ง Power ATX บนเมนบอร์ด และพบว่าสามารถใช้งานควบคุมการปิดเปิดคอมพิวเตอร์ได้ แต่ไม่สามารถใช้ควบคุม ตามฟังก์ชั่น Dual Power Supply ได้ การใช้งานสวิตช์ดังกล่าวก็คือกดปุ่ม Reset (หรือ SMI Green Mode ขึ้นอยู่กับว่านำเอาสายไฟของอะไรไปเสียบลงบน Male connector ของ Power ATX บนเมนบอร์ด อย่างไรก็ตามการแก้ปัญหาด้วยวิธีดังกล่าวทำให้เปิดสวิชต์เครื่องได้แต่ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถาวรการแก้ไขปัญหาเมื่อต้องการเปลี่ยนภาคจ่ายไฟ ATX สำหรับคอมพิวเตอร์ที่ใช้เคส AT ก็คือหาซื้อสวิตช์รีเลย์มาประยุกต์เพิ่มเติมจะได้ประสิทธิภาพของ ATX Power Supply |
ข้อควรคำนึงเมื่อใช้ Power Supply แบบ ATX |
1. สามารถควบคุมการปิดเปิดสวิตช์ (Soft Power Off) คอมพิวเตอร์ผ่านซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการ (Operating System) ได้
ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการที่สามารถใช้ได้คือ วินโดวส์ 95
|
2. ทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามคุณสมบัติ "OnNow" ที่ระบุไว้ใน Intel PC 97 โดยใช้สัญญาณควบคุมผ่านโมเด็มเพื่อเปิดสวิตช์คอมพิวเตอร์ได้หรือกำหนดเวลาเปิดสวิตช์คอมพิวเตอร์จาก RTC (Real Time Clock) ได้
|
3. พัดลมของ ATX ถูกออกแบบช่วยให้การระบายอากาศภายในเคสดีขึ้น
|
4. การควบคุมแรงดันไฟฟ้าของ ATX ออกแบบให้มีการควบคุมได้จากเมนบอร์ดที่ใช้ Chipset รุ่นใหม่ ทำให้ลดอันตรายจากการจ่ายกระแสไฟฟ้าเกินแรงดัน
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น